คำแนะนำการเลือกใช้ยางปิงปอง
ยางปิงปอง คือ อุปกรณ์ที่จะให้ความหมุน (Spin) , ความเร็ว (Speed) และ การควบคุม (Control) ให้กับลูกปิงปอง
ยางปิงปองที่จะสามารถใช้ในการแข่งขันได้จะต้องได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ ( ITTF Approved ) จึงจะสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันได้
ยางปิงปองจะมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม และเมื่อจะใช้งานจึงต้องประกอบเข้ากับไม้เปล่าก่อน โดยหากจะนำไปใช้ในการแข่งขันจะต้องติดให้พอดีกับของของไม้เปล่า ไม่สามารถติดให้เกินขอบไม้หรือใช้แผ่นยางแบบไม่เต็มหน้าไม้ติดลงไปแข่งขันได้ ซึ่่งผู้ตัดสินสามารถใช้ดุลยพินิจว่าจะอนุญาตลงทำการแข่งขันได้หรือไม่
ยางปิงปองตามกติกามีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้
1. ยางเรียบ PIMPLE IN
ยางเรียบ คือ ยางที่ด้านบน TOP SHEET จะเป็นแผ่นเรียบเท่ากันทั้งหมด และจะต้องมีฟองน้ำ SPONGE รองรับหน้ายางไว้
คุณสมบัติ : ยางเรียบจะให้ความหมุนและความเด้งกับลูกปิงปอง
- ฟองน้ำแข็ง จะให้ความเด้งได้ดีกว่าฟองน้ำนิ่ม
- ฟองน้ำหนา จะให้ความเด้งได้ดีกว่าฟองน้ำบาง
2. ยางเม็ดสั้น PIMPLE OUT
ยางเม็ดสั้น ด้านบนจะมีลักษณะเป็นเม็ดปุ่มๆ อยู่ด้านบนสุด
คุณสมบัติ : ยางเม็ดสั้นจะให้ความหมุนน้อยกว่ายางเรียบ
- ฟองน้ำแข็ง จะให้ความเด้งได้ดีกว่าฟองน้ำนิ่ม
- ฟองน้ำหนา จะให้ความเด้งได้ดีกว่าฟองน้ำบาง
หมายเหตุ มียางเม็ดสั้นบางรุ่น ผลิตแบบไม่มีฟองน้ำออก ซึ่งก็จะยิ่งไม่มีความเด้ง
3. ยางเม็ดยาว LONG PIMPLES
ยางเม็ดยาว ด้านบนจะมีลักษณะเป็นเม็ดปุ่มๆ ขนาดยาวกว่ายางเม็ด อยู่ด้านบนสุด แบ่งออกเป็น 2 แบบ
1. แบบมีฟองน้ำรองรับหน้ายาง
2. แบบไม่มีฟองน้ำรองรับหน้ายาง
คุณสมบัติ : ยางเม็ดยาวจะให้ลูกหมุนที่ตรงกันข้ามกลับไปหาผู้เล่นที่ตีมา
- แบบมีฟองน้ำจะให้ความเด้งได้ดีกว่าแบบไม่มีฟองน้ำ
- ฟองน้ำหนา จะให้ความเด้งได้ดีกว่าฟองน้ำบาง
หมายเหตุ ยางเม็ดยาวจะมีอยู่อีก 1 ประเภท ที่มีความยาวอยู่ระหว่างเม็ดสั้นและเม็ดยาว เรียกว่า "ยางเม็ดกึ่ง" แต่โดยกติกาแล้วทางสหพันธ์ฯ จัดให้อยู่ในหมวดของยางประเภท "ยางเม็ดยาว"
4. ยาง ANTI SPIN
คือยางเรียบ มีฟองน้ำ ที่ไม่ให้ความหมุนใดๆ ต่อลูกปิงปอง
คุณสมบัติ : ให้ความหมุนที่ตรงกันข้ามกลับไป ยางจะมีความเด้งน้อยกว่ายางเรียบและยางเม็ดสั้น
ยางแต่ละประเภทข้างต้น จะมีวิธีเทคนิคการฝึกซ้อมที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ฝึกต้องเรียนรู้วิธีในการฝึกให้ถูกต้องกับยางแต่ละประเภท
สำหรับประเทศผู้ผลิตยางปิงปองนั้น ในโลกนี้จะมีแหล่งผลิตอยู่ 3 ประเทศหลัก คือ จีน , ญี่ปุ่น และเยอรมัน เนื่องจากใน 3 ประเทศนี้มีผู้นิยมเล่นกีฬาปิงปองเป็นจำนวนมาก ซึ่่งก็ผลิตจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายยังทั่วโลก
ซึ่งคุณสมบัติของยางเรียบ(ซึ่งเป็นยางที่นิยมเล่นกันมากกว่ายางเม็ด) ที่ผลิตจากทั้ง 3 ประเทศนี้ ก็จะมีข้อแตกต่างกันอีกเช่นกัน โดยแต่ละประเทศก็จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น ยางจีนจะมีเอกลักษณ์ที่หน้ายางจะเหนียว(TACKY , STICKY) มีน้ำหนักมาก ความเด้งจะค่อยมาก ส่วนยางญี่ปุ่นและยางเยอรมันก็จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมากทั้งหน้ายาง (TOP SHEET) และ ฟองน้ำ (SPONGE) ซึ่งคุณสมบัติที่แตกต่างกันนี้ก็จะส่งผลถึงวิธีการตีที่แตกต่างกันและต้องฝึกซ้อมไม่เหมือนกัน ผู้ที่เล่นยางก็จะต้องฝึกซ้อมวิธีการตีให้ถูกกับยางที่ผลิตมาจากแต่ละประเทศอีกเช่นกัน
รวมถึงในระยะหลังนี้ ทั้งยางญี่ปุ่น และ ยางเยอรมัน ก็เริ่มที่จะปรับเปลี่ยนการผลิตหน้ายางโดยให้มีคุณสมบัติให้ใกล้เคียงกับยางจีนแล้ว การฝึกซ้อมจึงต้องปรับให้เหมาะกับลักษณะของหน้ายางแต่ละแบบจึงจะทำให้ประสิทธิภาพของยางปิงปองแสดงผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่
TACKY , STICKY
หน้ายางแบบเหนียว
จะมีจุดเด่นเรื่องการยึดเกาะลูกได้ดี ส่งให้ผลตีลูกได้หมุนมาก แต่ความเร็ว ความพุ่งจะไม่ค่อยมาก เหมาะสำหรับเน้นการตีแบบหมุน
วิธีการตี : ต้องสัมผัสลูกแบบเสียดสีลูกเป็นหลัก
NON TACKY
หน้ายางแบบไม่เหนียว
จุดเด่นจะอยู่ที่เร็ว ความเด้ง และความพุ่ง ส่วนความหมุนจะน้อยกว่าหน้ายางแบบเหนียว เหมาะทั้งเร็ว และ หมุน
วิธีการตี : สามารถตีลูกได้ทั้งแบบกระแทกลูก และ เสียดสีลูก
ในส่วนของยางเรียบนอกเหนือจากหน้ายางด้านบน (Top sheet) แล้ว ยังต้องคำนึงถึงฟองน้ำ (Sponge) ด้วยเช่นกัน ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีสูตรเฉพาะเป็นของตนเอง แต่โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งฟองน้ำตามความนิ่มของฟองน้ำออกเป็น 3 ระดับความนิ่มดังนี้
1. ฟองน้ำแบบแข็ง (Hard)
2. ฟองน้ำแบบนิ่ม (Soft)
3. ฟองน้ำแบบปานกลาง (Medium)
ซึ่งความนิ่มของฟองน้ำที่แตกต่างกันนี้จะส่งผลถึงความเด้ง,ความเร็ว ที่ให้กับลูกปิงปองดังนี้
1. ฟองน้ำแข็ง จะให้ความเด้งและความเร็วที่ดี (Speed)
2. ฟองน้ำนิ่ม จะให้ความเด้งน้อย จะเด่นเรื่องการควบคุมลูกได้ดี (Control)
3. ฟองน้ำปานกลาง จะให้ความเด้งอยู่ในระดับสมดุล หรืออยู่ระหว่างกลางของความเร็วและการควบคุม
นอกจากนี้วัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตฟองน้ำ ยังมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันอีก โดยฟองน้ำในอดีตจะมีลักษณะที่มีความหนาแน่น มีความละเอียดสูง แต่ในปัจจุบันแต่ละแบรนด์ก็จะมีการคิดค้นออกแบบฟองน้ำความหนาแน่นที่แตกต่างกันขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่การคิดค้นของแต่ละแบรนด์ และลักษณะทางกายภาพของฟองน้ำก็จะส่งผลให้การตีลูกออกไปแตกต่างกันด้วยเช่นกันครับ

ฟองน้ำเนื้อละเอียด
จะมีน้ำหนักมาก และส่วนใหญ่เนื้อฟองน้ำจะแข็ง ฟองน้ำจะมีความนิ่มให้เลือกได้น้อย จึงได้มีการพัฒนาต่อยอกออกมาเป็นฟองน้ำแบบรูพรุน ซึ่งทำให้มีความนิ่มเลือกได้หลายแบบยิ่งขึ้น

ฟองน้ำแบบรูพรุน
จะให้ความนุ่มและความเด้งที่มากกว่าฟองน้ำเแบบเนื้อละเอียด สามารถเลือกความนิ่มได้หลากหลายความนิ่ม
สำหรับยางปิงปองที่จะสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันได้นั้น จะต้องได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ ITTF Approved จึงจะใช้แข่งขันได้
โดยในยางประเภทยางเรียบ และ ยางแอนตี้ ซึ่งมีข้อสังเกตุดังนี้




สำหรับสีของยางปิงปอง กติกาล่าสุดกำหนดไว้ คือ ด้านหนึ่งจะต้องเป็นสีดำ อีกด้านหนึ่งจะเป็นสีแดง , สีเขียว , สีชมพู , สีฟ้า และ สีม่วง สีใดสีหนึ่งก็ได้ (ห้ามเป็นสีดำเหมือนกัน)

ในส่วนของยางเม็ดยาวและยางเม็ดสั้น นอกเหนือจากยางจะต้องได้รับการรับรองแล้ว มีกติกาที่ควรทราบเพิ่มเติมดังนี้


สำหรับในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการรักษากฏระเบียบกติกาของสหพันธ์เทเบิลเทนนิสอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นเจตนารมณ์หลักของกติกาที่ประเทศสมาชิกต่างๆ ได้ร่วมกันบัญญัติขึ้นมาตั้งแต่ต้น
และเพื่อไม่ให้นักกีฬาเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันในการแข่งขัน สมาคมฯ ในบางประเทศก็จะมีการประกาศห้ามใช้ยางที่ผิดกติกาลงทำการแข่งขัน โดยจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบยางเม็ดหลักๆ ดังนี้ (ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือที่ ITTF ยังไม่ได้ให้การรับรอง แต่สมาคมฯ ของบางประเทศก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทดสอบ)
ทั้งนี้ยังมีประเด็นข้อถกเถึยงกันในเรื่องของการปรับแต่งสภาพของยางให้เปลี่ยนแปลงไป ในยางทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นยางเรียบที่มีการใช้น้ำยาจูนฟองน้ำให้ขยายตัวขึ้นเพื่อเพิ่มความเด้ง , ยางเม็ดที่ทำให้ค่า Friction น้อยกว่าที่กติกากำหนดไว้ โดยเฉพาะดัดแปลงออกมาจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรง ฯลฯ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ทางสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติก็ยังไม่มีกฏระเบียบในการตรวจสอบ รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ตรวจเช็คอย่างเป็นทางการออกมา


